แม้วัยจะล่วงเข้าสู่ 50 ปีแล้วก็ตาม "โค้ชแต๊ก-อรรถพล ปุษปาคม" ก็ไม่เคยว่างเว้นห่างหายไปจากสนามฟุตบอลเมืองไทย
นับตั้งแต่เริ่มชีวิตนักฟุตบอลอาชีพค่อย ๆ ก้าวและเติบโตจากนักเตะ "สิงห์เจ้าท่า" สังกัดสโมสรการท่าเรือฯ ขยับฝีเท้าเข้าสู่สนามแข่งระดับประเทศในฐานะตัวแทนทีมชาติไทย ลงเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ร่วมกับเพื่อนนักเตะชาติเดียวกัน สามารถคว้าแชมป์ถ้วยพระราชทานคิงส์คัพมาครองได้สำเร็จ และยังมีแมตช์ที่น่าประทับใจที่สุดก็คือ นัดชิงชนะเลิศที่ไทยชนะพม่า 4-3 ในซีเกมส์ ที่ประเทศสิงคโปร์เป็นเจ้าภาพ เมื่อปี 2536 ใครที่ได้ร่วมลุ้นในเหตุการณ์ครั้งนั้น คงจำกันได้ดีถึงความพยายามและฝีมือนักเตะไทย
ก่อนจะผันตัวเองมาเป็นผู้ฝึกสอนคุมทีมนักเตะไทยพรีเมียร์ลีกในหลายสโมสรดังสร้างผลงานเหนือชั้นจนได้รับยกย่องจากแฟนบอลทีมชาติไทยว่าเป็นหนึ่งในผู้ฝึกสอนฟุตบอลชาวไทยที่เก่งที่สุดในประเทศและยังโกอินเตอร์ไปคุมทีมเกย์ลังยูไนเต็ดของสิงคโปร์อีกด้วย
ชีวิตการเป็นโค้ชเริ่มจากการเป็นสตาฟโค้ชให้ทีมของ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก่อนจะย้ายไปเป็นผู้ช่วยโค้ชให้ "บีอีซี เทโรศาสน" แล้วขึ้นเป็นเฮดโค้ชที่บีอีซีฯ พาทีมคว้ารองแชมป์เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก ในปี 2003 ซึ่งตอนนั้นบอลไทยลีกยังไม่บูม ทีมส่วนใหญ่ยังอยู่แค่เมืองหลวง
หลังจากเป็นโค้ชให้บีอีซีฯ ได้ย้ายมาเป็นโค้ชให้ สโมสรเอสซีจี เมืองทองฯ ยูไนเต็ด จนทีมคว้าแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ ก่อนจะย้ายไปร่วมงานกับ ทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เกือบ 3 ปี และถูกคำสั่งปลดสายฟ้าฟาดจากประธานสโมสรปราสาทสายฟ้า (เนวิน ชิดชอบ) ระหว่างคุมเกมการแข่งขันที่ประเทศเกาหลีใต้ในศึก "เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก 2013" แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
"ไม่มีสัญญาณอะไรเลย เลิกเกมแล้วพี่เนวินก็ยังมาจับมือกับผมดีเลย แต่พอกลับโรงแรมทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ผมไม่ได้รู้ตัวล่วงหน้า ตอนนั้นผมกำลังกินข้าวอยู่ เขาเรียกผมมาคุย จัดการรีบเปลี่ยนไฟลต์ให้บินกลับเมืองไทยทันที" โค้ชแต๊กเล่าวินาทีรู้ข่าวถูกปลดกลางอากาศ แต่ตกงานเพียงแค่ข้ามคืนก็มีสโมสรดังย่านปทุมธานี "บางกอกกล๊าส เอฟซี" ติดต่อให้มาเป็นโค้ชคุมทีมกระต่ายแก้วเกือบจะในทันทีทันใด และโค้ชแต๊กก็ตอบรับเกือบจะทันทีเช่นกัน เพราะทางสโมสรเร่งรีบขอคำตอบ
"ผมมาอยู่บางกอกกล๊าสฯ ควบทั้งตำแหน่งแมเนเจอร์และโค้ชด้วย ที่นี่ให้อิสระกับผมมาก ทั้งการวางแผน วางโครงสร้างของทีมด้วย และการเป็นโค้ชด้วย"
นี่คือ เหตุผลที่โค้ชแต๊กตกลงใจรับหน้าที่คุมสโมสรกระต่ายแก้ว ขณะนั้นอยู่ในอันดับที่ 10 ของตารางไทยพรีเมียร์ลีก
หากดูจากผลงานของกุนซือแต๊กในอดีตที่ผ่านมา เป็นไปได้ไม่ยาก ที่ทีมบางกอกกล๊าสฯ จะก้าวขึ้นมาอยู่ในตัวเลขหลักเดียว ซึ่งเป็นหน้าที่ของโค้ชอรรถพลต้องทำให้ได้ก่อนจบเลกแรก (2 สัปดาห์ที่คุมทีม บีจีขยับขึ้นอันดับที่ 9) และก็ทำได้ดังที่ทำมาแล้วในอดีต โดยเขาเองก็ยอมรับว่า ที่ผ่านมาต้องทำการบ้านหนักมาก
- คุมทีมอย่างไรให้ประสบผลสำเร็จ
"ผมทำการบ้านหนักมาก ต้องดูเกมคู่ต่อสู้ ทั้งดูเทปการแข่งขันย้อนหลัง ดูสถิติ ดูข้อมูลต่าง ๆ บวกกับคุณภาพของทีมและนักเตะก็ต้องดีด้วย ผสมกับการเลือกวางแท็กติกได้ถูกต้องในแต่ละเกม ยุทธวิธีที่เราจะใช้เล่นกับคู่ต่อสู้แต่ละเกม แต่ละยุทธวิธีไม่เหมือนกัน ต้องดูก่อนว่าคู่ต่อสู้มีจุดแข็งตรงไหน ไม่ใช่เลือกแต่วิธีเดิม ๆ สิ่งสำคัญ คือ ต้องเรียนรู้ข้อผิดพลาดอย่างรวดเร็วในเวลาจำกัด ที่สำคัญต้องแก้ไข ปรับปรุงทีมตลอดเวลา และต้องมองเห็นจุดอ่อนของทีมด้วย จึงจะพาทีมประสบความสำเร็จ"
- หน้าที่ของโค้ชคืออะไร
"โค้ชก็เหมือนเป็นช่าง ต้องรู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่าช่างจะมองเห็นจุดที่ต้องแก้ได้ถูกต้องหรือเปล่า แล้วนำจุดตรงนี้ไปสื่อสารกับนักเตะให้เข้าใจอย่างรวดเร็วได้หรือไม่ แล้วอุดช่องโหว่ให้ได้ เลือกเติมสิ่งต่าง ๆ เข้าไป ไม่ว่าจะเป็นสไตล์การเล่น แท็กติกที่ผู้เล่นแต่ละคนต้องเปลี่ยนแปลง หรือบางแท็กติกของผู้เล่นยังไม่เคยใช้ หรือยังไม่เข้าใจเกม
งานของโค้ชต้องทำงานแก้ไขตลอดเวลา หยุดไม่ได้ ถ้ายุทธวิธีไหนไม่ได้ผลกับคู่ต่อสู้ ก็หาตัวเลือกอื่นมาใช้ โดยต้องวิเคราะห์จากข้อผิดพลาดของคู่ต่อสู้ ผมเพิ่งเข้ามาอยู่บางกอกกล๊าสฯได้ไม่กี่วัน ทีมยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องบอกกันเพิ่มเติม แต่ตอนนี้มองเห็นจุดใหญ่ที่ต้องเปลี่ยนแปลง ส่วนของนักเตะถือว่าคุณภาพโอเค เพียงแต่ยังขาดความเข้าใจเกม"
- สไตล์การทำงาน
ผมพยายามใกล้ชิดกับนักเตะมากขึ้น เข้าไปพูดคุยด้วย นักเตะบางคนยังขาดความเข้าใจเกม ส่วนใหญ่โค้ชก็คุยกับนักเตะเอง อย่างน้อยก็ช่วยสร้างความมั่นใจก่อนลงสนามได้
- การย้ายทีมแต่ละครั้ง ดูเงื่อนไขอะไรบ้าง
ดูโครงสร้างของทีมเป็นหลัก สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ และแนวทางการทำทีมของสโมสร อย่างที่สโมสรบางกอกกล๊าสฯทำงานค่อนข้างง่าย มีสิ่งอำนวยความสะดวกเพียบพร้อม และผู้บริหารก็เป็นมืออาชีพอยู่แล้ว เพราะเป็นในรูปบริษัท ไม่น่าห่วงอะไร
เรื่องการบริหารจัดการทางบางกอกกล๊าสฯ ติดต่อผมมาหลังจากที่เป็นข่าวอย่างที่ทราบกันว่า ทีมบุรีรัมย์ฯ ยกเลิกสัญญาผม ซึ่งสัญญาจะหมดเดือนพฤษภาคมนี้
หลังจากกรณีความเห็นไม่ตรงกันเรื่องการเปลี่ยนตัวผู้เล่น นั่นคือ จุดใหญ่และจุดเดียวเลย
"เหตุและผลของผมไม่ใช่แบบที่เขาต้องการ สิ่งที่โค้ชต้องการในตอนนั้นยังไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวผู้เล่น ก็เหมือนผมไม่ฟังเขา แต่จุดตรงนั้น ผมไม่ได้ทำเพื่อเขา แต่ทำเพื่อสโมสร เพราะผมจะไปตอบแฟนบอลบุรีรัมย์ฯ หรือแฟนบอลที่เชียร์ตัวแทนประเทศไทยอยู่ได้อย่างไร เว็บบอร์ดในเว็บไซต์บอกว่า โค้ชบ้าหรือเปล่า เปลี่ยนตัวผู้เล่นคนนี้ลงไปทำไม ทั้งที่กองหลังยังเล่นได้ดีอยู่ เราต้องมองถึงหลายอย่างประกอบกัน ไม่ใช่เปลี่ยนตัวผู้เล่นตามอำเภอใจ แล้วเกิดผิดพลาด ถ้าทำทีมแพ้ แฟนบอลหรือคนที่ตามเชียร์อยู่จะคิดอย่างไร"
หลังจบเกมนัดนั้น ชื่อของอรรถพลก็กลายเป็นอดีตโค้ชสโมสรปราสาทสายฟ้าในทันที
- ความรู้สึกตอนนั้น
"ผมผิดขนาดไหน ถึงจะต้องขับไสไล่ส่งกันถึงขนาดนั้น พูดกันดีๆ ก็ได้ คุณมีสิทธิ์ไล่ผม ก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ใช่มาเนรเทศให้รีบกลับไปเลยแบบนี้ พอบินมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ มีนักข่าว 3-4 ฉบับมารอ แต่ตอนนั้น เขาก็แถลงข่าวกันไปแล้ว และผมก็ไม่อยากไปสู้รบกับเขา
ส่วนความสัมพันธ์กับนักเตะในทีมบุรีรัมย์ฯ ก็ยังดีอยู่ เพียงแต่นักเตะอาจจะยังไม่เข้าใจ เพราะตอนที่ผมออกมายังไม่ได้คุยกับนักเตะเลย ได้คุยกับแค่บางคน แล้วเขาก็บอกต้องไปแล้วนะ รีบหาแท็กซี่ไปส่งผมที่สนามบินที่เกาหลีใต้กลับไทยเลย"
- ทำงานกับหน่วยงานรัฐ เอกชน กับนักการเมือง ทำงานกับใครยากสุด
"นักการเมือง เพราะต้องใช้เหตุและผลมาอธิบายอย่างละเอียด และต้องมีเหตุผลเด็ดจริงถึงจะเอาอยู่ และก็ต้องอ่านคนให้ถูกด้วย ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา พี่น้องชาวบุรีรัมย์ยังให้กำลังใจผมอยู่ตลอด คงตกใจเหมือนกันที่ทราบข่าว ซึ่งผมยังผูกพันกับสังคมที่โน่นอยู่
หลังจบเกมแต่ละนัด จะมีประเพณีไปเดินเล่นที่ตลาดไนท์ เวลาเจอคนที่โน่นก็เหมือนเป็นพี่ป้าน้าอา หรือเด็ก ๆ ที่มาขอถ่ายรูปด้วย จะชอบตะโกนบอกโค้ชว่า อย่าไปไหนนะ อยู่ที่นี่นาน ๆ แต่ผมคิดในใจว่า ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอยู่ได้นานหรือเปล่า"
- มองบทบาทนักการเมืองกับวงการฟุตบอลไทยอย่างไร
"นักการเมืองหันมาทำสโมสรฟุตบอล มุมหนึ่งก็เป็นสีสัน เป็นแรงสนับสนุนให้วงการฟุตบอล ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่เรื่องบริหารจัดการ การตัดสินใจ ผมไม่รู้นะ ผมไม่กล้าไปพูด"
- ตอนแรกคิดว่าโค้ชแต๊กจะไปเป็นโค้ชทีมชาติ
"หลังถูกปลดก็ไม่มีข่าวมาเลยว่า ผมจะไปคุมทีมชาติ และทางสมาคมฟุตบอลฯ ก็ไม่เคยติดต่อมา ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าเลย สโมสรอื่น ๆ ก็ไม่มีติดต่อมา เพราะก่อนหน้านี้ ความสัมพันธ์ผมกับพี่เนวินก็ยังแน่นแฟ้นมาตลอด แต่ตอนนี้ก็จบกันไป ผมเคยฝันอยากไปเป็นโค้ชทีมชาติ แต่ก็ต้องใช้เวลาอีกมาก และตอนนี้อยากทำสโมสรให้ดีก่อน
ถึงมีบางคนมองเห็นว่าน่าจะขึ้นไปคุมระดับทีมชาติได้แล้ว แต่ผมยังชอบอยู่กับสโมสรมากกว่า ไม่อยากเหยียบเรือสองแคม อีกอย่างหนึ่งทางสมาคมต้องมีการบริหารจัดการที่ชัดเจนกว่านี้ และทีมชาติต้องพร้อมกว่านี้"
เมื่อถามถึงลูกชายนักฟุตบอล โค้ชแต๊กเล่าว่า มีลูก 4 คน ลูกชาย 3 คน ชอบเล่นฟุตบอลหมด ลูกชายคนโตชื่อ "บอล" (วรรณพล ปุษปาคม) ตอนนี้เป็นนักฟุตบอลสโมสรการท่าเรือฯ และทำงานไปด้วย เขาบอกอยากช่วยสโมสรการท่าเรือฯอย่างเต็มที่ คงมองไปถึงถ้าช่วงฟอร์มดี ก็หวังติดทีมชาติ ไม่แน่นะ ถ้าผมได้เป็นโค้ชทีมชาติไทย ผมอาจจะเอาลูกผมติดทีมชาติด้วย คงกลายเป็น Talk of the Town ไปอีก สร้างสีสันหน่อย
แต่ผมทำได้ เพราะลูกผมเล่นบอลเป็น แต่จะเลือกลูกตัวเองลงสนามหรือไม่ นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง (หัวเราะ)"