ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เมื่อได้ทราบข่าวว่า พนักงานของเราบางคน
เมื่อได้รับสิทธิเป็นแฟรนไชส์ร้านเซเว่นฯ แล้วก็เริ่มเสียผู้เสียคน
เนื่องจากมีเวลาเพิ่มขึ้นและมีรายได้มากขึ้น
บางคนลุ่มหลงการพนัน บางคนเมื่อมีเครดิตดีขึ้น ก็จับจ่ายใช้สอยอย่างฟุ่มเฟือย
ด้วยบัตรเครดิตสารพัดประเภท จนมีหนี้สินรุงรังหาทางออกไม่เจอ
โอกาสดีที่บริษัทฯ มอบให้กลับกลายเป็นโทษสำหรับพนักงานที่ขาดความยั้งคิด
ปล่อยตัวไปตามกระแสกิเลสที่ไหลเชี่ยวอยู่ในสังคมและจมดิ่งลึกลงไปเรื่อย ๆ
ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นมาเห็นเดือนเห็นตะวันได้อีก…
ผมหวนรำลึกถึงตัวเองในวัยเยาว์ ที่มีเงินติดกระเป๋าเพียง 50 สตางค์
ซึ่งเพียงพอแค่ซื้อน้ำหวานได้ 1 แก้ว แต่ผมก็เดินชมร้านรวง
ตามสองข้างทางถนนเยาวราชอย่างมีความสุข
ไม่มีเงินพอซื้อตั๋วชมภาพยนตร์ แต่ก็สามารถเข้าไปเดินชม’ หนังแผ่น ‘
หรือภาพตัวอย่างจากภาพยนตร์ที่ติดอยู่ตามผนังด้วยความสำราญใจ
เมื่ออายุยังน้อย ผมไม่ค่อยได้เล่นของเล่นราคาแพงๆ เหมือนเด็กคนอื่น
คุณพ่อจะให้เหตุผลว่า ปืนคาวบอยสีสันแวววาวที่ผมอยากได้หนึ่งกระบอก
ราคาพอๆ กับค่ากับข้าวหลายวัน ผมก็เห็นจริงตามนั้น จึงไม่กล้ารบเร้าเซ้าซี้ต่อไป
โชคดีที่คุณพ่อผมส่งเสริมเรื่องการอ่าน ถ้าขอเงินไปเช่าหรือซื้อหนังสืออ่านเป็นไม่มีผิดหวัง
และเพราะนิสัยรักการอ่านนี่เอง ที่ทำให้ผมรู้จักโลกกว้าง รู้จักชีวิต รู้จักคิดอย่างมีระบบ
และมีหลักการ รวมทั้งได้ความรู้ความสามารถภาษาติดมาโดยไม่รู้ตัว
แม้ฐานะทางบ้านจะไม่ได้ร่ำรวย แต่ผมก็ไม่เคยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
มีเพียงความมุ่งมั่นจะสร้างชีวิตที่มีคุณค่าตั้งใจจะเรียนต่อสายอาชีพ
เพื่อจะได้รีบจบออกมาทำงานช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัว
เมื่อเรียนจบระดับ ปวช. ผมก็ลงทะเบียนเรียนภาคค่ำที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
กลางวันก็เข้าทำงานที่บริษัทยาแห่งหนึ่งของประเทศเยอรมัน ผมยังจำได้ดีว่า
ได้รับเงินเดือนเดือนแรก 1,500 บาท ถูกหักภาษี 70 บาท
มอบเงินให้คุณแม่ 1,100 บาท เหลือติดตัวไว้ใช้เพียง 330 บาท ก็อิ่มอกอิ่มใจ
ไม่รู้สึกว่า ชีวิตขาดแคลนอะไร
ผมเริ่มเป็นหนี้ครั้งแรก ก็เมื่อตัดสินใจซื้อบ้าน เพราะคงมีน้อยคนนัก
ที่จะสามารถซื้อบ้านได้ด้วยเงินสดๆ ทั้งก้อน และถ้ารอจนกว่าจะเก็บเงินได้ครบ
ราคาบ้านก็อาจวิ่งแซงไปจนตามซื้อไม่ทัน
แต่สำหรับเรื่องอื่น ผมไม่เคยก่อหนี้เกินตัว ผมยังจดจำคำที่คุณพ่อพร่ำสอน
มาตั้งแต่เด็กว่า ‘ ความไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ ‘
คนไม่มีหนี้จะไม่ต้องคอยหลบหน้าใคร ถึงเวลานอนก็หลับสบายไร้ความกังวล
ผมจึงถือคติว่า ยอมกินข้าวคลุกเกลือเปล่าๆ ยังดีกว่า
เสียศักดิ์ศรียืมเงินคนอื่นไปซื้อผักปลามาเป็นกับข้าว
มีอยู่คราวหนึ่งเมื่อยังเรียนชั้นประถมศึกษา ทางโรงเรียนพาไปเข้าแคมป์ลูกเสือที่หัวหิน
ผมมีเงินติดตัวไปเพียง 10 บาท เพราะเกรงใจไม่กล้าขอคุณพ่อมากกว่านี้
ระหว่างที่เข้าค่ายก็ซื้อขนมกินจนเงินหมด เมื่อถึงวันกลับ
หลังจากทานข้าวเช้าแล้ว ก็ขึ้นรถรอนแรมเดินทางกลับกรุงเทพฯ
สมัยนั้นยังไม่มีถนนธนบุรี-ปากท่อ หรือถนนพระราม 2 อย่างในปัจจุบัน
ต้องไปอ้อมผ่านนครปฐม ถนนหนทางก็ยังไม่ดี กว่าจะถึงโรงเรียนที่กรุงเทพฯ ก็บ่ายแก่ๆ
ผมไม่มีเงินเหลือซื้ออาหารกลางวันและไม่มีค่ารถกลับบ้าน
แต่ผมก็ไม่เอ่ยปากหยิบยืมจากเพื่อนหรือคุณครู ยืดอกสูดลมหายใจ
แล้วก็เดินเท้ากลับบ้านด้วยความสงบ
ผมเข้มงวดกับตัวเอง แต่ไม่ได้แห้งแล้งน้ำใจต่อผู้อื่น มีเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ธรรมศาสตร์
ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม ตอนนั้นผมทำงานมีรายได้แล้ว ก็ให้เขาหยิบยืมไปลงทะเบียน
แต่ปรากฏว่าจนกระทั่งบัดนี้ เขาก็ไม่เคยนำเงินมาใช้คืน
ผมจึงอยากให้เรื่องนี้เป็นอุทธาหรณ์แก่พวกเราทุกคนว่า
อย่ามีน้ำใจจนตัวเองเดือดร้อน
อย่าให้ใครหยิบยืมเงินจนเกินกำลัง
และที่สำคัญที่สุด อย่าไปค้ำประกันให้ใคร
เพราะถ้าเราให้ใครยืมเงินแล้วเขาไม่ใช้คืน ก็แค่หนี้สูญ
แต่ถ้าเราไปค้ำประกันใคร แล้วเขาหนีไป
เราก็ต้องกลายเป็นลูกหนี้ในจำนวนเงินที่เราอาจจะรับไม่ไหว
ต้องทุกข์กายทุกข์ใจไม่สิ้นสุด
พนักงานของเราที่อยู่วัยหนุ่มสาวกำลังสร้างเนื้อสร้างตัว ต้องฝึกวินัยให้หัวใจตัวเอง
ต้องรู้จักอดทนรอคอย อย่าใจเร็วด่วนได้ เอาเงินในอนาคตมาใช้จนหมดในปัจจุบัน
ค่านิยมของสังคมไทยที่ไม่ดีก็คือ นิสัยขี้โอ่ โอ้อวดทำให้ต้องมีรายจ่ายเกินฐานะ
เพื่อพยุงภาพของเกียรติยศจอมปลอมเอาไว้ ทั้งๆ ที่เกียรติยศที่แท้จริงคือ
การสร้างเกียรติคุณให้แก่ชีวิตโดยการสร้างสรรค์ประโยชน์ให้แก่โลกใบนี้
ไม่ใช่อยู่ที่ขับรถยี่ห้ออะไร หรือใช้กระเป๋าใบละเป็นหมื่นเป็นแสน
ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ใจ ไม่ได้อยู่ที่วัตถุ
เพราะคนที่ร่ำรวยจนสามารถซื้อเตียงทองคำฝังเพชร
ก็ไม่อาจซื้อการนอนหลับอย่างเป็นสุขได้ !!!
อย่าเป็นหนี้ แล้วเราจะหลับสบายได้ทุกคืน
แม้จะนอนหลับบนพื้นไม้กระดานธรรมดาก็ตาม !!!
โดย คุณก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น