หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

คุณชอบทำงานในร้านกาแฟไหม?

ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบทำงานในร้านกาแฟ อาจด้วยเหตุผลของบรรยากาศสบายๆ กลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟ หรือเสียงคนคุยกันเบาๆ 

กลางปีที่แล้วมีการวิจัยชื่อ "Is Noise Always Bad? Exploring the Effects of Ambient Noise on Creative Cognition." ที่จัดทำโดย Ravi Mehta เพื่อศึกษาว่า เสียงจากบรรยากาศรอบตัวมีผลต่อการทำงานของสมองอย่างไร

ผลลัพธ์ได้ออกมาว่า ระดับเสียงรอบตัวที่ทำให้สมองทำงานมีประสิทธิภาพมากที่สุดอยู่ที่ประมาณ 70 เดซิเบล ในขณะที่ระดับเสียงเบาประมาณ 50 เดซิเบล หรือดังประมาณ 85 เดซิเบล ไม่เกิดผลดีต่อการทำงานของสมอง

การวิจัยนี้สรุปผลว่า ครั้งหน้าถ้าคุณเกิดคิดอะไรไม่ออก ไอเดียตีบตัน จงมุ่งหน้าไปที่ร้านกาแฟ ไม่ใช่ห้องสมุด หรือแทนที่จะฝังตัวอยู่ในห้องเงียบๆ คนเดียว ลองเดินออกจากคอมฟอร์ตโซน ไปยังสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังระดับพอดี จะช่วยให้สมองของคุณคิดสร้างสรรค์ได้ดีขึ้น

ผลวิจัยนี้คงทำให้ใครหลายคนพยักหน้าหงึกๆ (โดยเฉพาะเหล่าฟรีแลนเซอร์หรือคนทำงานอิสระ) เพราะมีข้ออ้างที่จะออกจากบ้าน แต่เชื่อเถอะครับว่าผลวิจัยนี้เป็นแค่ปัจจัยเสริมเท่านั้น สาเหตุจริงๆ ที่คนทำงานอยู่บ้านกันไม่ค่อยได้


เป็นเพราะ "ความเหงา" ต่างหาก

Forrester Research ได้ทำการสำรวจพบว่า ปัจจุบันมีผู้ทำงานอิสระมากกว่า 375 ล้านคนทั่วโลก ถ้าให้เดา เกือบครึ่งน่าจะเป็นคนรุ่นใหม่อายุระหว่าง 20-35 ปี

Genevieve DeGuzman หนึ่งในผู้เขียนหนังสือ "Working in the UnOffice" แจกแจงข้อดีของการทำงานที่บ้านต่อไปนี้ 

ความยืดหยุ่นสูง ตั้งตารางเวลา เลือกสถานที่ทำงานและวิธีการทำงานของตัวเองได้

การเดินทางที่น้อยลง ไม่ต้องเดินทางไปทำงานไกลๆ ไม่ต้องหงุดหงิดกับรถติด

ลดค่าใช้จ่ายทางธุรกิจ โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งเริ่มทำธุรกิจ จะประหยัดค่าใช้จ่ายการเช่าออฟฟิศได้มาก

แต่กระนั้นเอง แม้จะเป็นการทำงานที่ไม่มีหัวหน้า ไม่มีออฟฟิศ แต่ผลการสำรวจพบว่าคนทำงานอิสระส่วนใหญ่เลือกที่จะแต่งตัวไปร้านกาแฟมากกว่าที่จะนอนทำงานอยู่บ้าน DeGuzman ได้ตั้งข้อสังเกตถึงข้อเสียของการทำงานที่บ้านไว้หลายข้อ เช่น

ทำให้เกิดอาการขี้เกียจ เพราะมีสิ่งที่รบกวนสมาธิมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าที่ต้องซักหรือโซฟาที่น่าเอนนอน

ทำงานมากเกินไป แบ่งแยกความเป็นบ้าน และที่ทำงานไม่ออก

ข้อสุดท้ายเธอเขียนว่า ทำงานอย่างโดดเดี่ยว บางครั้งอาจรู้สึกเหงา หรือห่างเหินจากสังคม หรือที่เรียกกันว่า Freelance Isolation

แต่แม้ร้านกาแฟจะเป็นหมุดหมายของคนทำงานอิสระ ทว่า หลายๆ ครั้งก็ต้องยอมรับว่ามันไม่สะดวกเอาเสียเลย

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่ไม่แน่นอนความปลอดภัยของการทำงานในที่สาธารณะที่มีคนพลุกพล่านตลอดเวลา ต้องลุ้นทุกครั้งว่าจะหาโต๊ะใกล้ปลั๊กไฟได้หรือไม่ หรือการที่ทางร้านอยากจะไล่คนที่ไม่ค่อยสั่งอะไรทาน เพื่อให้มีการหมุนลูกค้ามากขึ้น

แล้วในที่สุดก็มีการค้นพบจุดตรงกลางระหว่างร้านกาแฟและบ้าน 

สิ่งนั้นเรียกว่า coworking space หรือ พื้นที่ที่ใช้ทำงานร่วมกันของคนที่มาจากต่างสายงาน อาจมีลักษณะเป็นสำนักงานทั่วไป โฮมออฟฟิศ หรือห้องทำงานเล็กๆ

แต่จะแตกต่างจากการทำงานในออฟฟิศทั่วไปคือ ทุกคนทำงานอิสระ ไม่ได้เป็นพนักงานของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง

ส่วนใหญ่มักจะเป็นคนรุ่นใหม่ที่ไม่ชอบทำงานเป็นรูทีน หรือตอกบัตรเข้าออฟฟิศ เช่น ดีไซเนอร์ นักพัฒนาโปรแกรม ผู้ประกอบการใหม่ นักเขียน 

coworking space แห่งแรกของโลกก่อตั้งโดย Brad Neuberg ในเมืองซานฟรานซิสโก ชื่อ The Hat Factory ซึ่งเป็นที่พบปะของนักเขียนด้านไอที 3 คน แต่ไปๆ มาๆ ก็เริ่มมีคนแวะเวียนมานั่งทำงานด้วย

จนในที่สุด Brad จึงจับมือกับเพื่อนๆ ก่อตั้ง Citizen Space ซึ่งเป็น Coworking Space แห่งแรกที่ตั้งขึ้นสำหรับนั่งทำงานจริงๆ

coworking space ส่วนมากจะมีโต๊ะหรือบริเวณทำงานส่วนตัวที่สามารถมาเช่าเฉพาะเวลาหรือเต็มเวลาก็ได้ (ค่าบริการต่อวันทั่วไปจะเท่ากับกาแฟสตาร์บัคส์ 2 แก้ว) มีอุปกรณ์สำนักงานหรือสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ไว้ใช้ร่วมกันได้ เช่น เครื่องดื่ม ปริ๊นเตอร์ สัญญาณอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ห้องประชุม ครัว บริเวณพักผ่อน ไปจนถึงโต๊ะปิงปอง! 

ปัจจุบันกระแส coworking space กำลังบูมอย่างมากสำหรับคนรุ่นใหม่ในต่างประเทศ มีอัตราการเติบโตต่อปีสูงเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ 5 ปีติดกัน ในนครนิวยอร์กมี coworking space มากกว่า 60 แห่งเช่นเดียวกับอีก 6 ทวีปทั่วโลกที่คาดว่าน่าจะมีจำนวนมากกว่า 2,000 แห่ง

ความพิเศษอีกอย่างของ coworking space คือ "ชุมชน"

ด้วยบรรยากาศสบายๆ ไม่ซีเรียสเกินไป และเต็มไปด้วยคนรุ่นใหม่ที่มีหัวคิดคล้ายกัน ทำให้โอกาสที่แต่ละคนจะหันหน้าคุยกันมีมากกว่า ยิ่งส่วนใหญ่เป็นคนทำอาชีพอิสระที่มีความเชี่ยวชาญหลากหลาย ก็ยิ่งเกิดการแลกเปลี่ยนความคิด หรือร่วมมือกันสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ

พูดง่ายๆ ว่าคุณอาจได้เพื่อนใหม่ที่นี่นั่นเอง

ผมได้ยินข่าว coworking space สักพักแล้ว เมื่อมีโอกาสจึงลองหิ้วโน้ตบุ๊กไปใช้บริการดูบ้าง 

ใช่ครับ ตอนนี้ในกรุงเทพฯ ก็มี coworking space กับเขาแล้วนะ 

สถานที่ที่ผมไปชื่อ HUBBA อยู่แถวเอกมัย ลักษณะเป็นโฮมออฟฟิศ มีสวนหย่อมเล็กๆ น่ารัก (และแทรมโบลินให้คลายเครียด!) บรรยากาศข้างในสบายๆ เป็นกันเอง ตกแต่งเรียบๆ เหมาะแก่การนั่งทำงาน มีหลายห้องให้เลือกใช้ 

HUBBA มาจากคำว่า HUB ที่หมายถึง ศูนย์กลาง ส่วนคำว่า BA คือคำว่า บ้า ตรงตัวภาษาไทย ภายใต้คอนเซ็ปต์กวนๆ ว่า You"ll never work alone หรือ คุณจะไม่มีวันทำงานเดียวดาย

ผมจ่ายเงิน 265 บาท แลกกับโต๊ะและเก้าอี้ที่ทำงานได้ทั้งวัน วันที่ผมไปเป็นวันหยุด จึงมีคนมาใช้บริการค่อนข้างหนาตา ถึงแม้วันนั้นผมจะไม่ได้คุยกับใครเลย แต่ก็รู้สึกดีกับบรรยากาศลักษณะนี้ 

ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเราไม่สามารถทำงานที่บ้านคนเดียวนานๆได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือเจ้าความขี้เหงาของคนรุ่นใหม่เกิดจากอะไร คนสมัยก่อนเวลาต้องทำงานคนเดียวเขารู้สึกเหงากันบ้างไหมนะ 

แต่ผมมั่นใจลึกๆ ว่า เหตุผลหนึ่งที่ coworking space เป็นที่นิยมของคนรุ่นใหม่ เพราะมันเป็นพื้นที่ที่ทำให้เรารู้สึกว่า อย่างน้อยเราก็ไม่ได้ทำงานเดียวดาย

ล่าสุดมีคนคิดค้นเว็บไซต์ชื่อ www.coffitivity.com ที่อัดเสียงบรรยากาศจากร้านกาแฟจริงๆ มาให้โหลดฟังฟรีบนอินเตอร์เน็ต มีไฟล์เสียงให้เลือกหลายแบบ เช่น ร้านกาแฟยามเช้า ร้านกาแฟช่วงเที่ยง หรือร้านกาแฟในมหาวิทยาลัย 

นั่งทำงานอยู่บ้านคนเดียว ฟังเสียงร้านกาแฟเพื่อที่จะได้รู้สึกว่าไม่ได้อยู่คนเดียว

มันอาจช่วยให้สมองทำงานดีขึ้นเพราะระดับเสียง 70 เดซิเบลตามผลวิจัย แต่สำหรับผม เรื่องนี้ทำให้รู้สึกเหงาๆ ยังไงชอบกล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น