หน้าเว็บ

วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2555

การเรียกร้องประชาธิปไตย (เพิ่งรู้ที่มาที่ไป)


ครั้งแรกในชีวิตกับการทำแผ่นพับ  เนื่องจากได้รับคำสั่งจากท่านแม่(แม่คุณทูลหัว)  ก็เลยลองทำดูบ้างเผื่อจะเวิร์ก...  ทำไปทำมาก็ได้ความรู้เพิ่มเติมอย่างมากเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทย  ว่าทำไมต้องปฏิวัติมากมายขนาดนี้  ลองอ่านดูนะครับ  เนื้อหานี้เป็นการสรุปย่อบางส่วน ...


ในสมัยจอมพล  ถนอม  กิตติขจร  เป็นนายกรัฐมนตรี   ได้เกิดการเรียกร้องประชาธิปไตยจากกลุ่มปัญญาชนโดยมีอุดมการณ์หลัก  คือ  การต่อต้านเผด็จการทหาร  การผูกขาดทางเศรษฐกิจ  การฉ้อราษฎร์บังหลวง  และมีการเรียกร้องรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น  ซึ่งกลุ่มนิสิตนักศึกษามีการรวมตัวกันจัดตั้งเป็นศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย  เมื่อ ธันวาคม ๒๕๑๒  เริ่มสร้างผลงาน  เช่น  การรณรงค์ต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น  การประท้วงประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๙๙ เกี่ยวกับอำนาจอิสระของอำนาจศาล  ประท้วงขึ้นค่ารถเมล์  และการขอให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองการกระทำเหล่านี้  ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประชาชนคนรุ่นใหม่อันเป็นผลมาจากนโยบายการพัฒนาประเทศ  จึงทำให้เกิดเหตุการณ์นองเลือดเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย  ซึ่งมี ๓ เหตุการณ์  คือ  วันมหาวิปโยค  (๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖) เหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙  และเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ  (๑๗ – ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๕)


วันมหาวิปโยค  เกิดขึ้นรุนแรงเมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม  ๒๕๑๖   โดยที่ประชาชนจำนวนกว่า ๕ แสนคน  ได้รวมตัวลุกฮือต่อต้านเผด็จการทหารเพื่อเรียกร้องรัฐธรรมนูญที่มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น  เกิดการปะทะกันระหว่างกองกำลังฝ่ายรัฐบาลและผู้ประท้วง  มีการเสียชีวิตเสียเลือดเนื้อ  ทำลายทรัพย์สิน  เผาอาคารราชการ  ทำลายสัญญาณจราจร  ผลสุดท้าย  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ได้ทรงออกโทรทัศน์รับส่งว่า  “วันนี้เป็นวันมหาวิปโยค  ขอให้ทุกฝ่ายกลับไปอยู่ในความสงบหยุดยั้งการรบราฆ่าฟันกันเอง”  เมื่อเหตุการณ์ยุติลง  จอมพล  ถนอม  กิตติขจรได้กราบบังคมลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและยินยอมลี้ภัยไปต่างประเทศพร้อมกับ  จอมพล  ประภาส  จารุเสถียร  และ  พันเอก  ณรงค์  กิตติขจร  เหตุการณ์ครั้งนี้นับว่ากลุ่มนิสิตนักศึกษาอาจารย์มหาวิทยาลัยได้มีบทบาทในการแสดงออกทางการเมืองมากขึ้น  และได้รับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยมากกว่าฉบับที่ผ่านมา  นั่นคือ  รัฐธรรมนูญฉบับราชอาณาจักรไทย  พ.ศ.  ๒๕๑๗  ขณะเดียวกันได้มีการเผยแพร่ให้ความรู้แก่ประชาชน  มีการอภิปรายปัญหาบ้านเมืองและเกิดการรวมกลุ่มเพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ  เป็นต้น  ปัจจุบันได้มีการตั้งชื่อเหตุการณ์วันมหาวิปโยคนี้ใหม่ว่า  “๑๔ ตุลาวันประชาธิปไตย”

เหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙  เหตุการณ์นองเลือดครั้งนี้เกิดขึ้นสมัย  ม.ร.ว.เสนีย์  ปราโมช  หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นนายกรัฐมนตรี  ซึ่งเหตุการณ์ช่วงนี้นับได้ว่าดอกไม้แห่งประชาธิปไตยกำลังเบ่งบานเต็มที่  มีการเรียกร้องทางการเมืองมากมายจนเกินขอบเขต  เช่น  มีการประท้วง  นัดหยุดงาน  เป็นต้น  บางกรณีเป็นจริง  บางกรณีเกิดจากการฉวยโอกาสที่ไม่สมเหตุผล  ในขณะเดียวกันเกิดกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่ไม่เห็นด้วยกับประชาธิปไตยที่เกินขอบเขต  กลายเป็นกลุ่มต่อต้านในสังคม  เช่น  กลุ่มกระทิงแดง  เป็นต้น  จุดวิกฤตการณ์ได้เกิดขึ้นเมื่อ  สามทรราช  ได้พยายามเดินทางเข้าสู่ประเทศไทย  โดยเฉพาะจอมพล  ถนอม  กิตติขจร  ซึ่งบวชเณรมาจากประเทศสิงคโปร์  ทำให้เกิดการประท้วงจากนิสิตนักศึกษาและประชาชนซึ่งจัดชุมนุมกันที่ ม.ธรรมศาสตร์  เกิดการล้อเลียนทางการเมืองและสถานการณ์ได้พลิกผันจนเกิดเป็นเรื่องของการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ  ทำให้เกิดความเกลียดชังกระเหี้ยนกระหือที่จะห้ำหั่นกัน  ฝ่ายทหารได้ปิดล้อม  ม.ธรรมศาสตร์  มีการต้อสู้ด้วยอาวุธปืน  แขวนคอ  ฆ่าคนโดยใช้ยางรถยนต์เป็นเชื้อ  รุ่มฆ่าอย่างโหดเหี้ยม  เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ที่คนไทยฆ่าคนไทยด้วยกันอย่างหน้าเศร้าสลด  น่าสังเวช  และสิ้นสุดด้วยการยึดอำนาจของหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน  ซึ่งมี  พลเรือเอก  สงัด  ชะลออยู่  เป็นหัวหน้า  มีการประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญ  ฉบับ  พ.ศ. ๒๕๑๗  การยุบรัฐสภา  พรรคการเมือง  ฯลฯ  และแต่งตั้ง  นายธานินทร์  กรัยวิเชียร  ขึ้นมาบริหารประเทศ  เป็นการสิ้นสุดระบอบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญที่สมบูรณ์แบบ  เนื่องจาก  นายธานินทร์  กรัยวิเชียร  น่ากลัวยิ่งกว่าเผด็จการทหาร  ต่อมารัฐบาลชุดนี้ได้ถูกยึดอำนาจในที่สุด

เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ  เกิดขึ้นโดยประชาชนมาชุมนุมกัน  เพราะมีสาเหตุมาจากกลุ่มทหารได้ทำการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของ  พล.อ.  ชาติชาย  ชุณหะวัณ  ในนามคณะรักษาความเรียบร้อยแห่งชาติ  (รสช.)  และได้มีพระราชโองการแต่งตั้ง  นายอานันท์  ปันยารชุน  เป็นนายกรัฐมนตรี  ต่อมา  การร่างรัฐธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร  พ.ศ. ๒๕๓๔  และให้มีการเลือกตั้งทั่วไปแม้ว่าจะได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้วก็ตาม  แต่ผู้บัญชาการทหารสูงสุด  คือ  พล.อ.สุจินดา  คราประยูร  ยังคงรักษาอำนาจโดยการรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามที่พรรคการเมืองบางพรรคเสนอ  ทำให้ประชาชนไม่พอใจ  ชุมนุมเรียกร้องต่อต้านอำนาจเผด็จการ  รสช.  จนเป็นเหตุบานปลายกลายเป็นสงครามกลางเมือง  ต่อมา  พล.อ.สุจินดา  คราประยูร  ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี  และได้เสนอชื่อ  นายอานันท์  ปันยารชุน  เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๓๕ และแก้ไขรัฐธรรมนูญ  มีการเลือกตั้งทั่วไป  ได้มีการจัดตั้งรัฐบาลพลเรือนโดยมี  นายชวน  หลีกภัย  เป็นนายกรัฐมนตรี  เมื่อวันที่  ๒๓  กันยายน  ๒๕๓๕  ดังนั้นเหตุการณ์นองเลือดที่มีความสำคัญกับเมืองไทยมี ๓ เหตุการณ์  แต่มี ๒ เหตุการณ์ที่คล้ายกัน  คือ  วันมหาวิปโยค  และ  พฤษภาทมิฬ  โดยมีลักษณะเหตุการณ์ดังนี้  เหตุการณ์ที่ต่อสู้ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ  เหตุการณ์ที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเศรษฐกิจที่มีความก้าวหน้าทันสมัย  เหตุการณ์มีลักษณะเป็นการจลาจลคล้ายสงครามการเมือง

สรุป  จากการปรับเปลี่ยนทางการเมืองไทยได้เปิดโอกาสให้ระบบพรรคการเมืองมีอำนาจมากขึ้น  ให้ความสำคัญต่อระบบรัฐสภาสูงขึ้น  ได้ก่อให้เกิดผลทางการเมืองในปัจจุบัน  กล่าวคือ  นักการเมืองได้รับการยอมรับ  แต่บทบาทและพฤติกรรมของนักการเมืองได้ทำให้ประชาชนผิดหวัง  เพระว่า  มุ่งเน้นผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้องมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม  มีการฉ้อราษฎร์บังหลวง  แย่งชิงอำนาจและตำแหน่งทางการเมืองทำให้เกิดภาวะ  ธุรกิจการเมือง  ส่วนประชาชนได้เกิดการเรียนรู้  มีประสบการณ์วิเคราะห์การเมือง  และหาทางต่อสู้ต่อต้านอำนาจเผด็จการ  มีความตื่นตัวทางการเมืองสูงขึ้น  แต่ปัญหาที่เกิดจากนักการเมืองรุ่นเก่าที่ยังมีทัศนคติวัฒนธรรมและพฤติกรรมการเมืองแบบเดิม  ทำให้ประชาชนมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาอันนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่  พ.ศ.  ๒๕๔๐ เพื่อสร้างความโปร่งใสทางการเมืองยิ่งขึ้น

หนังสืออ้างอิง
ศิริพร  สุเมธารัตน์. วิถีโลก (หน้า ๒๒๑ – ๒๒๖). พิมพ์ครั้งที่ ๑. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์, ๒๕๕๒.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น